วันนี้จะมาแนะนำ ตัวอย่างRPA โดยที่จากบทความก่อนๆ ผมได้พูดถึงเจ้า RPA ไปบ้างแล้ว และได้ยกตัวอย่างRPA Software ตัวแรกที่ผมได้ลองใช้งานคือเจ้า KOFAX KAPOW ไปบ้างแล้วว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง วันนี้ผมจะมาขอเล่าประสบการณ์จากการทำ RPA ลงสนามจริงกับลูกค้าครั้งมาให้ฟังกันครับ เผื่อบางท่านจะได้ไอเดียว่าธุรกิจของตัวเองเหมาะจะใช้ RPA กันแล้วหรือยัง

เคสที่ผมยกตัวอย่างมานี้เป็น ตัวอย่างRPA ของธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศไทยนี่แหละครับ ทำทั้งหมด 4 Wokflow ผมจะไล่ยกตัวอย่างไปให้ฟังกันนะครับ

ปัญหาแรกที่เลือกมาใช้ RPA ก็คือ ปัญหาทำงานซ้ำๆเดิมๆวนไปวนมา Workflow ประมาณว่า

Login -> ค้นหางานที่มีปัญหา -> Printscreen -> ส่งอีเมลล์ เท่านี้แหละครับ แต่ปัญหาคือไอ้เจ้างานที่มีปัญหาน่ะ มันต้องดูด้วยตาอย่างเดียว โดยที่คนออกแบบเจ้า Web Application ตัวนี้ได้ทำไว้คือ จะมีสีที่ต่างจากพวกครับ เช่นถ้าหน้านึงมีทั้งหมด 40 รายการ ถ้ามีรายการที่มีปัญหา สีของานที่มีปัญหาจะเป็น สีแดง แบบนี้ครับ พอเจอ สีแดงที่มีปัญหาก็จะต้อง Prinscreen หน้าจอหนึ่งครั้ง แล้ว เอารูปไปลง MSword หลังจากนั้นคลิกไปดูรายละเอียดข้างในอีก 1 ครั้ง แล้ว Printscreen อีก 1 ครั้งแล้วเอารูปไปวางต่อใน MSWord อีกครั้ง หลังจากนั้น ก็ไปหารายการถัดๆไปในหน้าอื่นๆ หน้านึงก็ 40 รายการ ประเด็นคือมีมากกว่า 100 หน้าล่ะครับ ที่ปัจจุปัญปัญหาที่เกิด คือ คนทำงานต้องนั่งไล่ดูทีะหน้าไปเรื่อยๆ ละ Printscreen แบบที่ผมบอกไปทำซ้ำวนไปวนมาทุกวันนี่ล่ะครับปัญหา

บางคนอาจจะคิดว่าทำไมไม่แก้ App ล่ะเพิ่มการค้นหาไปก็จบละ ค้นหารายการที่มีปัญหา แค่นี้ก็จบละ ปัญหาอีกอย่างคือ “คนเขียน App ไม่อยู่ละครับ ลาออกไปละ” ทีนี้จะจ้างทีมมาแก้ App ใหม่ก็แพงเสียเหลือเกินเพราะว่าเค้าต้องมารื้อ App ใหม่ทั้งหมด เลยนึกถึง RPA นี่แหละครับ

เจ้า RPA ตอบโจทย์ได้เพราะงานทำซ้ำๆคลิกเปลี่ยนหน้า Printscreen ส่งอีเมลล์หาคนที่เกี่ยวข้อง ก็จบ ไม่ต้องแก้ App ใดๆทั้งสิ้นแต่อาจจะช้ากว่าตาคนหน่อย เพราะตาคนแยกแยะ สีได้เร็วกว่า เห็นสีแดงปุ้บก็ Printscreen แต่เจ้า Robot มันต้องเช็คทุกรายการเพราะมันมองไม่เห็นสี จึงต้องใช้ Tag HTML เป็นตัวบอกสี บรรทัดไหนมี Tag สีแดงก็คืองานที่มีปัญหา ก็สั่ง Printscreen ซะบรรทัดไหนสีปกติก็ข้ามไป

เมื่อทำรายการครบทั้งหมดก็ส่งอีเมลล์หาคนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาต่อไป รูปแบบของ Workflow